เรื่อง 
การกระจายอำนาจลงสู่ท้องถิ่นที่เอื้อต่อการใช้ทรัพยากรชุมชนเพื่อการศึกษา
              แนวคิดในการใช้ทรัพยากรชุมชนเพื่อจัดการศึกษา
แนวคิดในการใช้ทรัพยากรชุมชนเพื่อจัดการศึกษา
ปรากฏใน แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 9 (พ.ศ. 2545พ.ศ. 2549) สรุปได้ดังนี้ (2545:  12 – 23)
               แนวทางการพัฒนาในระยะ
5  ปี ของแผนพัฒนาฯ
ฉบับที่ 9 คือการสร้างกระบวนการชุมชนเข้มแข็งจากฐานรากทั้งในชนบทและเมืองผ่านเครือข่ายการมีส่วนร่วมของภาคีการพัฒนาจากทุกภาค
ส่วนที่เกี่ยวข้องกับการใช้ทรัพยากรชุมชนเพื่อการศึกษาตามแนวทางการพัฒนามีดังนี้
                 ประการแรก 
ส่งเสริมการรวมตัวของชุมชนและประชาสังคม 
อาศัยกลุ่มแกนวิทยากรกระบวนการจากทุกภาคทุกส่วน
จัดให้มีเวทีสร้างความเข้าใจ เรียนรู้และดำเนินกิจกรรมกลุ่มร่วมกันอย่างต่อเนื่อง
ควบคู่การพัฒนากระบวนการเรียนรู้ที่หลากหลาย
ให้คนในชุมชนได้รับการศึกษาพื้นฐานที่สอดคล้องกับศักยภาพภูมิปัญญาท้องถิ่นและวัฒนธรรม
ได้รับการฝึกอบรมที่สอดคล้องกับความต้องการและปฏิบัติเป็นอาชีพได้ตลอดจนสนับสนุนสิ่งอำนวยความสะดวกที่เอื้อต่อการเรียนรู้ให้เท่าทันโลก
พยายามค้นหาศักยภาพของชุมชนให้สถาบันการศึกษาในท้องถิ่นเป็นแกนประสานรวบรวมองค์ความรู้ในพื้นที่
ทำวิจัยร่วมกับชุมชนเพื่อจัดทำแผนที่การตั้งถิ่นฐาน แสดงทุนทางสังคม
เศรษฐกิจและทรัพยากร
ควบคู่กับการสร้างฐานข้อมูลและจัดทำตัวชี้วัดการพัฒนาเพื่อติดตามผลการดำเนินงานของชุมชน
และสนับสนุน ให้ชุมชนจัดทำแผนชุมชนอย่างมีส่วนร่วมที่จะนำศักยภาพ ปัญหามาวิเคราะห์
กำหนดกิจกรรมดำเนินงานตามความสามารถของชุมชนและพึ่งพาทรัพยากรที่มีอยู่เป็นหลัก
              ประการที่สอง  การสร้างสภาวะแวดล้อมที่ดี เพื่อพัฒนาคุณภาพ
วิถีชีวิตของคนในเมืองและชุมชนโดยการให้หน่วยงานส่วนท้องถิ่นและสถาบันการศึกษาสนับสนุนการรวมกลุ่มของชุมชนและสร้างเครือข่ายการเรียนรู้
ในการมีส่วนร่วม เฝ้าระวัง ฟื้นฟู รักษาสิ่งแวดล้อม ทรัพยากรธรรมชาติ
รวมทั้งอนุรักษ์มรดกทางประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม
เพื่อคงไว้ซึ่งเอกลักษณ์เฉพาะที่ดีงาม
วิถีชีวิตและจิตวิญญาณของเมืองและชุมชนตลอดจนพัฒนาภูมิปัญญาท้องถิ่นซึ่งเป็นองค์ความรู้ของชุมชนที่สั่งสมมานาน
มีการปรับใช้ประโยชน์อย่างเหมาะสม สามารถเชื่อมโยงกับการผลิตในสาขาต่างๆ
และวิถีชีวิตความเป็นอยู่
โดยส่งเสริมให้มีการจัดทำระบบฐานข้อมูลภูมิปัญญาท้องถิ่นที่เชื่อมโยงทั่วถึง
รวมทั้งสนับสนุนการวิจัยและพัฒนาต่อยอดภูมิปัญญาท้องถิ่นให้เกิดเทคโนโลยีที่เหมาะสม
และถ่ายทอดเชื่อมโยงสู่ชุมชนให้ใช้ประโยชน์ได้อย่างกว้างขวาง
                  ประการที่สาม 
ส่งเสริมให้สถาบันการศึกษาในพื้นที่เป็นแกนประสานสร้างองค์ความรู้ความเข้าใจ
สร้างจิตสำนึก ความรับผิดชอบไปพร้อมกับการสร้างระบบการทำงานที่สร้างเครือข่ายกระบวนการมีส่วนร่วมคิด
ร่วมทำ ร่วมรับผิดชอบ และดำเนินการพัฒนาอย่างสอดคล้องกับศักยภาพและความต้องการของชุมชน
พร้อมทั้งหาทางแก้หาความยากจนในชนบทและเมืองภายใต้กระบวนการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนของสังคม
โดยให้คนยากจนสามารถเข้าถึงบริการของรัฐได้อย่างทั่วถึง
และสามารถใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติโดยการกระจายบริการ การศึกษา
สาธารณสุขที่มีทางเลือกเหมาะกับวิถีชีวิตของคนยากจน
เพิ่มโอกาสการเข้าถึงแหล่งความรู้ แหล่งข้อมูลข่าวสารให้มีสื่อเพื่อชุมชน
มีเวทีสาธารณะเพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์และถ่ายทอดความรู้และภูมิปัญญาท้องถิ่นจากปราชญ์ชาวบ้าน
นอกจากนั้น ให้คนยากจนมีส่วนร่วมในการดูแลรักษาทรัพยากรธรรมชาติ ดิน น้ำ
ป่าได้อย่างเป็นธรรมและยั่งยืน
รวมทั้งสามารถใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติเป็นปัจจัยในการดำรงชีวิตและประกอบอาชีพได้อย่างเหมาะสมและไม่ขัดต่อระเบียบ
                  ในด้านกฎหมาย 
ได้วางแผนพัฒนาให้มีการปฏิรูปกฎหมายและระเบียบให้คนจนได้รับโอกาส สิทธิความเสมอภาคและความเป็นธรรมโดยผลักดันให้ปรับปรุง
แก้ไขและยกร่างกฎหมายต่างๆที่จะเป็นเครื่องมือให้คนจนมีสามารถมีสิทธิและมีส่วนร่วม
อาทิการเข้าถึงข้อมูลข่าวสาร
การประกอบการจากภูมิปัญญาท้องถิ่นการดูแลการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
ฯลฯ
                   ประการที่สี่ 
การพัฒนาการเชื่อมโยงชนบทและเมืองอย่างเกื้อกูล
เพื่อกระจายโอกาสการพัฒนาสร้างความมั่งคั่งให้คนในพื้นที่
และสร้างความแข็งแกร่งของเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ ในข้อนี้ได้กำหนดแนวทางการใช้ทรัพยากรชุมชนเพื่อการศึกษา
โดยวางแผนพัฒนาขีดความสามารถผู้ประกอบการทั้งในระดับชุมชนและท้องถิ่นให้เข้าถึงนวัตกรรมและเทคโนโลยีสมัยใหม่
โดยรัฐร่วมกับเอกชนและสถาบันการศึกษาในพื้นที่ปรับปรุงหลักสูตรการศึกษา
รวมทั้งจัดการฝึกอบรมและถ่ายทอดเทคนิคทางวิชาการที่สอดคล้องกับตลาดแรงงานและการพัฒนาเศรษฐกิจในท้องถิ่น
ให้มีการจัดการพื้นที่อย่างมีส่วนร่วมโดยเตรียมความพร้อมของกลไกลและองค์กรการจัดการพื้นที่ให้เอื้อต่อการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนในสังคม
โดยยึดพื้นที่ภารกิจและการมีส่วนร่วม
นำไปสู่การปรับโครงสร้างการพัฒนาชนบทและเมืองอย่างยั่งยืน
โดยให้ภาครัฐปรับบทบาทเป็นผู้สนับสนุนประชาสังคมในการวางแผนระดับชุมชนที่ยึดประชาชนเป็นตัวตั้ง
พร้อมทั้งปรับระบบงบประมาณให้เอื้อต่อการสร้างเครือข่ายการเรียนรู้ให้แก่ชุมชนที่เข้มแข็ง
และชุมชนที่อ่อนแอได้เรียนรู้ร่วมกัน
                     ประการที่ห้า  วางแผนพัฒนาให้มีการเสริมสร้างเครือข่ายเพื่อเพิ่มขีดความสามารถของท้องถิ่นและชุมชนในการเรียนรู้และการทำงานร่วมกัน
ให้เกิดระบบที่ดี มีความโปร่งใส ไร้ทุจริต โดยส่งเสริมให้องค์กรชุมชนที่เข้มแข็ง
รวมทั้งสันนิบาตและสหพันธ์องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเป็นแกนหลักในการสร้างเสริมขีดความสามารถของชุมชนและท้องถิ่น
โดยประสานการทำงานและการเรียนรู้ในแนวราบระหว่างองค์กรชุมชนและส่วนท้องถิ่น
กำหนดให้หน่วยงานส่วนกลางปรับกฎระเบียบให้เอื้อต่อการปฏิบัติงานส่วนท้องถิ่นและชุมชนอย่างคล่องตัว
สะดวกและมีประสิทธิภาพ
รวมทั้งฝึกอบรมและสร้างองค์ความรู้แก่ส่วนท้องถิ่นและชุมชนในการวางแผน การบริหารและการปฏิบัติงานพัฒนา
                       ประการที่หก 
กำหนดยุทธศาสตร์การบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการใช้ทรัพยากรชุมชนเพื่อการศึกษาคือ
กำหนดแผนการเสริมสร้างเครือข่ายการประสานงานและการทำงานร่วมกันขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
องค์กรพัฒนาเอกชน องค์กรชุมชน และประชาชนในท้องถิ่น ในการอนุรักษ์ ฟื้นฟู
และใช้ประโยชน์ทรัยยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน โดยให้ความสำคัญแก่การฝึกอบรมให้ความรู้แก่แกนนำชุมชน
เพื่อเพิ่มศักยภาพในการสร้างกระบวนการเรียนรู้และริเริ่มในชุมชน
พัฒนาระบบรวบรวมและจัดทำข้อมูลระดับท้องถิ่นให้สอดคล้องกัน
รวมทั้งให้มีเวทีประชาคมเพื่อรับฟังความคิดเห็น สร้างกระบวนการเรียนรู้
การมีส่วนร่วมคิดร่วมทำพร้อมกับเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารและแนวคิดอย่างต่อเนื่อง
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2540
                          การกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่นยังได้ปรากฏในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
พ.ศ. 2540 ซึ่งได้วางหลักเกณฑ์ใหม่
สำหรับใช้ในการปกครองส่วนท้องถิ่น
โดยมีสาระสำคัญเป็นการกระจายอำนาจเพื่อให้ท้องถิ่นพึ่งตนเองได้
และมีอิสระในการดำเนินงาน บทบัญญัติที่ถือว่าเป็น “หลักสำคัญ” ในการกระจายอำนาจคือ มาตรา 78 ซึ่งปรากฏอยู่ในหมวด 5 แนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐ โดยมีใจความสำคัญดังนี้ (นันทวัฒน์  บรมานันท์ 2544: 17)
                         “มาตรา 78
รัฐต้องกระจายอำนาจให้ท้องถิ่นพึ่งตนเองและตัดสินใจในกิจการท้องถิ่นได้เอง
พัฒนาเศรษฐกิจท้องถิ่นและระบบสาธารณูปโภคและสาธารณูปการ
ตลอดทั้งโครงสร้างพื้นฐานสารสนเทศในท้องถิ่นให้ทั่วถึงและเท่าเทียมกันทั่วประเทศ
รวมทั้งพัฒนาจังหวัดที่มีความพร้อมให้เป็นองค์การปกครองส่วนท้องถิ่นขนาดใหญ่
โดยคำนึงถึงเจตนารมณ์ของประชาชนในจังหวัดนั้น” 
                         นอกจากนี้ รัฐธรรมนูญฉบับนี้ยังได้กล่าวถึง
“สิทธิของชุมชนท้องถิ่นในการมีส่วนร่วมบำรุงรักษาและใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม” เป็นสิทธิซึ่งรัฐธรรมนูญบัญญัติไว้ในมาตรา 46 ว่า
                        “มาตรา 46
บุคคลซึ่งรวมกันเป็นชุมชนท้องถิ่นดั้งเดิม
ย่อมมีสิทธิอนุรักษ์หรือฟื้นฟูจารีตประเพณีและมีส่วนร่วมในการจัดการบำรุงรักษาและการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอย่างสมดุลและยั่งยืน
ทั้งนี้ตามที่กฎหมายบัญญัติ”
                         ประเด็นสำคัญของมาตราแรก
กำหนดขึ้นเพื่อในเป็นแนวทางที่รัฐจะดำเนินการกระจายอำนาจปกครองไปสู่ส่วนท้องถิ่น 
เพื่อให้ประชาชนในท้องถิ่นได้มีส่วนร่วมในการปกครองหรือดูแลท้องถิ่นได้มากขึ้น
ซึ่งจะมีผลตามมาคือเป็นการแบ่งเบาภาวะของส่วนกลาง
                        ส่วนประเด็นสำคัญของมาตราหลัง
คือการให้ความสำคัญแก่ศักยภาพและบทบาทของชุมชนท้องถิ่นในฐานะเป็นผู้บำรุงรักษาและใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมของตนเอง
และต้องบริหารจัดการโดยยึดหลักความสมดุลและยั่งยืน (นันทวัฒน์ บรมานันท์ 2544: 103)
                          การกระจายอำนาจให้ท้องถิ่นเป็นผู้บริหารจัดการทรัพยากรชุมชนดังกล่าวเป็นบริบทที่ทำให้เกิดผลดีต่อการจัดการศึกษาโดยใช้ทรัพยากรชุมชน
แนวคิดการปฏิรูปการศึกษาของกระทรวงศึกษาธิการ
                           กระทรวงศึกษาธิการได้ดำเนินการปฏิรูปการศึกษามาอย่างเป็นระบบและต่อเนื่องโดยมีแนวคิดและหลักการที่สำคัญดังนี้
( ศูนย์ปฏิบัติการปฏิรูปการศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ 2544:
1-66)
1.               
เน้นการพัฒนาคนไทยให้มีศักยภาพสูงขึ้น
เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ทั้งร่างกาย จิตใจ สติปัญญา ความรู้ คุณธรรม
วัฒนธรรมในการดำรงชีวิตและความสามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีความสุข
2.               
การจัดการศึกษาไทย  เป็นการจัดการศึกษาตลอดชีวิต
เปิดโอกาสให้ทุกคนมีส่วนร่วมในการจัดการศึกษา และพัฒนาการเรียนรู้ตลอดชีวิต
3.               
การจัดการศึกษามีเอกภาพด้านนโยบาย
มีความหลากหลายในทางปฏิบัติ มีการกระจายอำนาจและมีมาตรฐานคุณภาพการศึกษาสูงขึ้น
4.               
ครู อาจารย์
และบุคลากรทางการศึกษาเป็นครู อาจารย์ และบุคลากรมืออาชีพ
5.               
มีการระดมสรรพกำลังเพื่อการจัดการศึกษา
6.               
บุคคล ครอบครัว
ชุมชน องค์กรชุมชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และสถาบันต่างๆ
มีส่วนร่วมในการจัดการศึกษามากขึ้น
7.               
จัดการศึกษาอย่างหลากหลาย
มีการใช้สื่อ เทคโนโลยีและนวัตกรรมทางการศึกษาอย่างเหมาะสมแนวคิดและหลักการดังกล่าวข้างต้นมุ่งหวังที่จะให้การจัดการศึกษาเป็นหน้าที่ของคนไทยและการมีส่วนร่วมของทุกคนทุกองค์กร
หน่วยงานต่างๆ
ของกระทรวงศึกษาธิการได้ดำเนินการปฏิรูปการศึกษาโดยมุ่งเน้นการมีส่วนร่วมและการใช้ทรัพยากรชุมชนเพื่อการศึกษาสรุปได้ดังนี้  (ศูนย์ปฏิบัติการปฏิรูปการศึกษากระทรวงศึกษาธิการ
2544 )
1.               
กรมการศึกษานอกโรงเรียน 
ได้ดำเนินการเกี่ยวกับการปฏิรูปการศึกษาในส่วนของการปฏิรูประบบการจัดสรรทรัพยากรเพื่อการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยหลายเรื่องหลายประการ
มีประการหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับการใช้ทรัพยากรชุมชนเพื่อการศึกษาคือ การปฏิรูปแหล่งการเรียนรู้ตลอดชีวิต
โดยส่งเสริมการดำเนินงานและจัดตั้งแหล่งการเรียนรู้ตลอดชีวิตทุกรูปแบบ
ตลอดจนส่งเสริมและให้บริการแห่งการเรียนรู้เพื่อสนับสนุนการศึกษาในระบบและการศึกษานอกระบบ
ตลอดจนสร้างเครือข่ายการจัดการศึกษานอกโรงเรียน
2.               
สำนักงานสภาสถาบันราชภัฏ
ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการใช้ทรัพยากรชุมชนเพื่อการศึกษา
คือการเสริมสร้างความเข้มแข็งของชุมชน โดยการจัดทำศูนย์ข้อมูลท้องถิ่น  การจัดทำโครงการนักศึกษาเครือข่าย
โดยคัดเลือกนักศึกษาจากท้องถิ่นเข้ามาเรียน
ใช้วิชาการพิเศษและหมอบหมายให้เป็นผู้รวบรวมข้อมูลและสื่อสารข้อมูลไปยังท้องถิ่น
ผลการดำเนินงานในภาพรวมได้ผลดีระดับหนึ่ง
เพราะได้สร้างบทบาทในการเข้าไปช่วยเหลือชุมชนได้อย่างเป็นรูปธรรม
3.               
กรมศิลปากร 
มีนโยบายกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในการดูแลรักษาทรัพย์สินมรดกทางศิลปวัฒนธรรม
ส่งเสริมการจัดการศึกษาขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นโดยเตรียมจัดทำโครงการให้พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติและอุทยานประวัติศาสตร์เป็นแหล่งเรียนรู้ตลอดชีวิต
และจัดทำโครงการให้วิทยาลัยชุมชนเป็นสถาบันที่จะให้ความรู้แก่ชุมชนในการดูแลรักษาโบราณสถาน
โบราณวัตถุในท้องถิ่น
4.               
กรมพลศึกษา
ได้เน้นแนวทางในการปฏิรูปพลศึกษาและการกีฬาเพื่อรองรับการปฏิรูปการศึกษาของชาติไว้
6ด้าน
ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการใช้ทรัพยากรชุมชนเพื่อการศึกษาคือ ด้านทรัพยากรมนุษย์
และด้านโครงการบริหารและการจัดการทรัพยากร 
      ในด้านทรัพยากรมนุษย์ มุ่งเน้นการปฏิรูปครู
คณาจารย์ บุคลากรพลศึกษาและทรัพยากรบุคคลของชุมชน
โดยมีเป้าหมายในเรื่องคุณภาพชีวิตและความก้าวหน้าในการอาชีพ จัดทำแผนพัฒนาครู
คณาจารย์ บุคลากรพลศึกษาและทรัพยากรบุคคลของชุมชน
มุ่งเน้นคุณภาพคู่คุณธรรมโดยคำนึงถึงความต่อเนื่องของกระบวนการพัฒนาบุคลากรให้มีความรู้
ทักษะ ทัศนคติ และจริยธรรมที่เอื้อต่อการปฏิบัติงาน
เรียนรู้การปฏิบัติงานที่สอดรับกับเป้าหมายขององค์กร ท้องถิ่น ชุมชน
          ในด้านโครงสร้างบริหารและการจัดการทรัพยากรได้ปฏิรูปโครงสร้างการบริหารให้เป็นองค์กรหลักองค์กรกลางในการบริหาร
การจัดการศึกษาด้านพลศึกษาและการกีฬาของชาติ 
ส่งมอบภารกิจ
อำนาจหน้าที่ในการดำเนินงานและการจัดการทรัพยากรให้แก่องค์กรท้องถิ่น
ตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยตามมาตรา 284 (3) จัดกรอบการจัดสรรอัตรากำลังสูงเขตพื้นที่การศึกษา
5.               
สถาบันเทคโนโลยีราชมงคล
ได้ดำเนินการจัดการศึกษาตลอดชีวิตด้านวิชาชีพและส่งเสริมความเข้มแข็งของชุมชน
พัฒนาหลักสูตรวิชาชีพเพื่อรองรับกลุ่มผู้เรียนที่หลากหลาย
ส่งเสริมงานบริหารวิชาการแก่สังคม ให้ให้สถานศึกษาเป็นแหล่งการเรียนรู้ชุมชน
สนับสนุนส่งเสริมศาสนา ศิลปวัฒนธรรม
และรักษาสิ่งแวดล้อมศึกษาวิจัยด้านศิลปะและวัฒนธรรมไทยภูมิปัญญาไทย
6.               
กรมวิชาการ  มีหน้าที่รับผิดชอบงานพัฒนาคุณภาพการศึกษาระดับก่อนประถมศึกษาและระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน
ได้ดำเนินการปฏิรูปการเรียนรู้อย่างจริงจัง เกิดผลชัดเจนเป็นรูปธรรม
โดยดำเนินการใน 3 ลักษณะ คือ
6.1     
การวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้
6.2     
การพัฒนาคุณภาพครู
ได้ดำเนินโครงการส่งเสริมและพัฒนาครูแกนนำให้สามารถเป็นครูต้นแบบ
ปฏิรูปการเรียนรู้โดยการอบรม เข้มให้กับวิทยากรแกนนำด้านการเรียนรู้  จัดทำเอกสารเพื่อสร้างความเข้าใจให้กับครูแกนนำเพื่อเป็นครูต้นแบบปฏิรูปการเรียนรู้
และเกณฑ์คุณลักษณะของครูแกนนำ เพื่อพัฒนาเป็นครูต้นแบบ
จัดทำเอกสารแนวทางการประเมินการปฏิบัติงานของครูแกนนำ
จัดทำฐานข้อมูลครูแกนนำจากหน่วยงานต่างๆ ทั่วประเทศ
6.3     
การพัฒนาศักยภาพโรงเรียนโดยใช้ปัจจัยองค์รวมและปัจจัยสนับสนุนเพื่อมุ่งเน้นการผนึกกำลังจากทุกฝ่าย
ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษา ครูผู้สอน ศึกษานิเทศก์ บุคลากรทางการศึกษาหลายชุมชนร่วมกันพัฒนาโรงเรียนให้เป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้
เอื้ออำนวยการทำงานของครูด้วยการสร้าความเข้าใจเกี่ยวกับการปฏิรูปการเรียนรู้ผ่านทางสื่อต่างๆ
พัฒนาโรงเรียนแกนนำรวม 77 โรงเรียน
ซึ่งกระจายอยู่ทุกเขตการศึกษาทั่วประเทศ ผลิตเอกสารเผยแพร่
จัดประชุมสัมมนาการเรียนรู้สัญจรใน  4 ภูมิภาค
เพื่อผนึกกำลังให้หน่วยงานในทุกพื้นที่การศึกษาร่วมกันสร้างเครือข่ายการเรียนรู้
นิเทศ เยี่ยมเยียนให้กำลังใจแก่โรงเรียนนำร่องด้านการเรียนรู้
        ผลการดำเนินงานทำให้เกิดเครือข่ายการปฏิรูปการเรียนรู้ในรูปแบบของประชาสังคมจังหวัด
มีครูดี ครูเก่ง ในสังกัดต่างๆ ที่เป็นครูแกนนำเป็นต้นแบบปฏิรูปการเรียนรู้
โดยขณะนี้มีครูแกนนำแล้วจำนวน 43,000 คน เกิดโรงเรียนนำร่องด้านการเรียนรู้ที่มีคุณภาพในกรุงเทพมหานครและในทุกเขตการศึกษาจำนวน
36 โรงเรียน
เพื่อเป็นโรงเรียนตัวอย่างในการปฏิรูปการเรียนรู้โดยปัจจัยองค์รวม ( whole
school approach ) นอกจากนั้นยังขยายผลการพัฒนาศักยภาพโดยปัจจัยองค์รวมและดำเนินการวิจัยร่วมกับโรงเรียน
ครูในโรงเรียนนำร่องด้านการเรียนรู้ ใช้กระบวนการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้
สร้างรูปแบบการเรียนรู้ สร้างโครงงาน สร้างหน่วยการเรียนรู้โดยใช้ project-based
learning
7.               
สำนักงานคณะกรรมการประถมศึกษาแห่งชาติ
มียุทธศาสตร์การสร้างและพัฒนาบุคลากรแกนนำให้เป็นบุคลากรแห่งการเรียนรู้ เป็นแกนนำในการปฏิรูปกระบวนการเรียนรู้
และเป็นแหล่งเรียนรู้ให้แก่บุคลากรในพื้นที่ได้
8.               
กรมสามัญศึกษา  ในการปฏิรูปการเรียนรู้มีการดำเนินการที่สำคัญคือ
การพัฒนาระบบทรัพยากรเพื่อการศึกษา ดังนี้
8.1     
การปรับระบบงบประมาณ
ได้จัดตั้งศูนย์ประสานงานปรับระบบงบประมาณกรมสามัญศึกษา ( ศูนย์ PBB: Performance-Based Budgeting ) มีการแต่งตั้งคณะทำงานเพื่อรับผิดชอบปฏิบัติงานให้แล้วเสร็จตามกำหนดเวลา
โดยมีผลการดำเนินงานคือ การวางแผนงบประมาณโดยวางแผนกลยุทธ์และแผนงบประมาณระดับองค์กร
ระดับเขตพื้นที่การศึกษา และระดับโรงเรียน มีการคิดต้นทุนกิจกรรม
มีการจัดระบบการจัดซื้อจัดจ้าง มีการบริหารทางการเงินและควบคุมงบประมาณ
มีการรายงานผลการดำเนินงาน การบริหารสินทรัพย์และการตรวจสอบภายใน
8.2     
การระดมทรัพยากร  เพื่อระดมทรัพยากรจากแหล่งเงินต่างๆ
และทรัพยากรอื่นๆ เข้ามามีส่วนในการจัดการศึกษา
8.3     
การปรับระบบบริหารและการจัดการศึกษา  เพื่อเป็นการเตรียมการรองรับการกระจายอำนาจการบริหารและการจัดการการศึกษา
และให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการจัดการศึกษาตามพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542
กรมสามัญศึกษาได้กำหนดให้มีการรวมกลุ่มของโรงเรียนกลุ่มละประมาณ 5-6 โรงเรียน  ในรูปสหวิทยาเขตเพื่อร่วมมือช่วยเหลือกันทั้งด้านวิชาการและการบริหารจัดการโดยมีทั้งสิ้น
471 สหวิทยาเขต
โดยให้โรงเรียนในสหวิทยาเขตทำหน้าที่ให้สอดคล้องกับคณะกรรมการและสำนักงานการศึกษาในการกำกับ
ส่งเสริม และสนับสนุนให้โรงเรียนในสหวิทยาเขตดำเนินการให้สอดคล้องกับนโยบายแผนและมาตรฐานการศึกษาของกรมสามัญศึกษา
กระทรวงศึกษาธิการ
8.4     
การบริหารโดยใช้โรงเรียนเป็นฐาน
เพื่อเป็นการสนองเจตนารมณ์ของพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542  ที่ต้องการกระจายอำนาจการบริหารและการจัดการการศึกษาไปให้สถานศึกษาให้มากที่สุด
ทั้งด้านวิชาการ งบประมาณ การบริหารบุคคล และการบริหารทั่วไป
โดยให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการจัดการศึกษาของโรงเรียน กรมสามัญศึกษาจึงได้มีการเตรียมความพร้อมของโรงเรียน
ตามกรอบการบริหารโดยใช้โรงเรียนเป็นฐานโดยมีการดำเนินการที่สำคัญ
 
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น